Hasmukh (ฮัสมุข) ฆ่าให้ขำ ซีรีส์อินเดียพล็อตแหวกแนวแบบไม่เคยมีมาก่อนในโลกแน่นอน ด้วยการจับเรื่องตลกเดี่ยวไมค์โครโฟนเข้ากับฆาตกรต่อเนื่อง (Serial killer) ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นความท้าทายของคนเขียนบทมากกับการยำ 2 เรื่องนี้มาไว้ด้วยให้ดีได้ยังไง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเห็นถึงความพยายามที่แปลก แหวกแนว มีอะไรที่คาดไม่ถึงมากมายในซีรีส์หนังอินเดียของ Netflix เรื่องนี้ แม้จะไม่ถึงขนาดดีลงตัว แต่ก็มีดีพอให้เชื้อชวนลองรับชมดูครับ

ตัวอย่าง Hasmukh (ฮัสมุข) ฆ่าให้ขำ

เรื่องราวเริ่มต้นที่ “ฮัสมุข” ตัวเอกของเรื่องที่เป็นนักเรียนฝึกหัดของ “คุลาตี” นักเล่าเรื่องตลกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง โดยมี “จิมมี่” นักปั้นดาว เป็นผู้จัดการส่วนตัว วันหนึ่งด้วยความแค้นที่ถูกกดขี่ดูถูกจากอาจารย์มานาน เขาจึงพลั้งมือฆ่าคุลาตีไป แล้วก็ได้ขึ้นแสดงสดแทนด้วยอารมณ์ที่ต่างออกไปจากตัวตนปกติของเขา แต่ก็กลายเรื่องขำขันโดนใจของผู้ชมอย่างไม่น่าเชื่อ จิมมี่รู้เรื่องนี้แล้วเห็นพรสวรรค์ของเขา จึงร่วมมือกับฮัสมุขวางแผนฆ่าคนก่อนการแสดง เพื่อเป้าหมายไปสู่ฝันของการเป็นนักเล่าเรื่องตลกชื่อดังแห่งยุค ผ่านรายการ “ราชาเรื่องตลก” ที่เป็นเกมโชว์เล่าเรื่องตลกเรตติ้งสูงสุดของอินเดีย ที่ซึ่งมี “KK” เจ้าของตำแหน่งแชมป์หลายสมัยยึดครองอยู่ และไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงไปแน่นอน

นี่เป็นหนังที่เปิดเรื่องราวมาอย่างไวไม่ต้องรีรอปูเรื่องราวอะไรทั้งสิ้น เพราะแค่ 7 นาทีแรกตัวเอกฮัสมุขก็เข้าสู่ด้านมืดไปเรียบร้อยแล้วด้วยการเชือดอาจารย์ของเขา และเริ่มเข้าสู่ช่วงของการเล่าเรื่องตลกดาร์คๆ ทันที สำหรับคนที่สงสัยว่าเรื่องนี้มันผสม 2 แนวได้ยังไงให้ลองดูแค่ช่วงแรกจะเข้าใจได้ในทันที ซึ่งในแนวทางของหนังสยองขวัญก็ทำได้ดีพอตัว ฉากฆ่าเปิดเรื่องที่ให้เห็นปาดคอเลือดกระฉูดกันจะๆ ส่วนแนวตลกก็เป็นแบบดาร์คคอเมดี้ โดยฮัสมุขตัวเอกจะเล่าสิ่งที่ตัวเองเจ็บแค้นจากคนที่พึ่งฆ่าไปแปลงมาเป็นมุกตลกดราม่าเสียดสีสังคม ซึ่งกลายเป็นว่าผู้ฟังรู้สึกทัชโดนใจกับสิ่งที่เขาเล่า เพราะฮัสมุขเองก็เป็นคนธรรมดาชนชั้นล่างของอินเดียที่ถูกดขี่จากความอยุติธรรมหลายรูปแบบในสังคม ที่คนอื่นเองก็คงพบเจอได้เช่นเดียวกัน และก็กลายมาเป็นมุกตลกเสียดสีสังคมประจำตัวฮัซมุขในเรื่องนี้

ตัวเรื่องวางบทสรุปไว้ที่การแข่งรอบไฟนอลชิงแชมป์ราชาแห่งเรื่องตลกในตอน 10 ซึ่งก็จบปมของเรื่องราวที่วางไว้ในการแข่งได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ทิ้งปมอื่นที่ค้างไว้อีกหลายอย่างไว้ไปต่อซีซั่น 2 ซึ่งถ้ามีโอกาสทำต่อก็น่าจะติดตามดูอยู่ครับ เพราะตัวซีรีส์แม้จะไม่ถึงขั้นว่าดีมาก แต่ก็มีส่วนดีหลายอย่างในเรื่องที่แปลกใหม่ และผู้สร้างทำงานออกมาอย่างตั้งใจ เห็นในความพยายามฉีกแนวเรื่องออกมา แล้วไม่ใช่แค่แนวเรื่องจากหน้าหนัง แต่ยังมีส่วนของดราม่าเสียดสีสังคมที่สอดแทรกเข้ามาได้อย่างดี แม้จะไม่ใช่ส่วนหลักของเรื่อง แต่ก็แอบเด่นจนรู้สึกว่าตัวซีรีส์มีดีกว่าที่คาดคิดครับ

สรุป

ซีรีส์ตลกดาร์คคอมเมดี้เสียดสีสังคมด้วยพล็อตฉีกแหวกแนว ตัวละครพระเอกแนวแอนตี้ฮีโร่เหมือน You กับ Dexter เรื่องราวมีหลากหลายอารมณ์ลงตัวบ้างไม่ลงตัวบ้าง อาจจะไม่ถึงขนาดพูดได้เต็มปากว่าดีมาก แต่ก็มีดีพอให้เชื้อชวนลองรับชมดูครับ อย่างน้อยถ้าใครสงสัยว่าเรื่องมันผสมกันได้ยังไงระหว่างตลกกับฆาตกรต่อเนื่องก็ลองทดสอบดูช่วง 15 นาทีแรกของเรื่องดูก็ได้ เพราะจะเข้าใจได้ทันทีครับ