The Plagues of Breslau (ชื่อไทย สังเวยมลทินเลือด) หนังแนวสืบสวนของ Netflix โปแลนด์ เรื่องราวของการไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อที่มีบาปแต่ละอย่างแตกต่างกัน ด้วยวิธีประหารนักโทษสมัยโบราณ และนำมาประจานต่อสาธารณะชนทุก 6 โมงเย็น

เรื่องนี้เป็นหนังโรงของประเทศโปแลนด์ตั้งแต่ปี 2018 และก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ตอนนี้ก็ได้ขายสิทธิ์มาลง Netflix เป็นแบบ Original ซึ่งข้อดีก็คือตัวโปรดักชั่นดีกว่าหนังที่สร้างมาลง Netflix โดยตรงซะส่วนมาก สเกลของเรื่องจึงดูจริงจังกว่า สมจริงกว่า ตัวเรื่องมาในแนวสืบสวนระทึกขวัญไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่อง ที่ฆ่าเหยื่อที่มีบาปหนักติดตัว ด้วยวิธีประหารในยุคสมัยศตวรรษที่ 18 ทุกหกโมงเย็น ซึ่งฟังดูก็อาจจะคุ้นๆ กับพล็อตฆาตกรต่อเนื่องไล่คนตามบาปทั้ง 7 ของมนุษย์ตามคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งก็มีที่มาจากต้นแบบเรื่องเดียวกันคือ Seven ผลงานขึ้นหิ้งของเดวิด ฟินเชอร์ กับฉากจบที่เป็นตำนานฉากหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาเต็มๆ แทบจะทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เปลี่ยนจากตำรวจนักสืบชายที่ แบรด พิตต์ เล่น มาเป็นผู้หญิง (Helena Rus) แนวๆ ทอมห้าวๆ แล้วคดีก็เกิดขึ้นมาแบบต่อเนื่องเหยื่อทุกคนมีบาปหนักกับโดนประทับตราไว้เพื่อประกาศโทษที่ต้องโดนสังหาร แต่แค่ไม่ได้ตรงตามไบเบิลแบบ Seven เท่านั้น

รีวิวหนัง The Plagues of Breslau (Netflix) ฆาตกรรมบาปต่อเนื่อง (ไม่สปอยล์) 1ตัวเรื่องเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ระทึกขวัญต่อเนื่องแทบไม่มีหยุดพัก แม้เรื่องจะบอกว่าฆาตกรฆ่าคนทุกหกโมงเย็นติดต่อกัน แต่ในหนังกลับไม่ได้มีฉากให้เห็นว่าเวลาผ่านไปจนข้ามวันสักเท่าไหร่ ดูแล้วยังเผลอคิดว่าเป็นการฆ่าต่อเนื่องติดๆ กันในวันเดียวเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นจุดด้อยของเรื่องที่แม้การเดินเรื่องเร็วต่อเนื่องแบบนี้จะทำให้คนดูสนุก แต่พอมองถึงความสมจริงกลายเป็นฆาตกรเก่งเว่อร์ไป ฆ่าคนต่อเนื่องได้ติดๆ กันแบบอุกอาจกลางเมือง รวมถึงจัดฉากฆ่าโหดพิสดารได้ไวและเนี๊ยบเกิน จนแทบไม่มีบทให้ตำรวจในเรื่องได้พลิกกลับหรือนำหน้าความคิดฆาตกรได้เลย แต่ก็อาจจะเพราะตัวเรื่องจริงต้องการโชว์แนวระทึกขวัญมากกว่าการไล่ล่าสืบสวนแบบในเรื่องอื่นๆ เพราะจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรื่องนี้ต้องการบางสิ่งที่พลิกเรื่องราวไปอีกแบบ อาจจะเรียกว่าเหนือชั้น ว้าวไปกับจุดนี้ก็ได้ แต่มองอีกมุมก็กลายเป็นจุดตอกย้ำให้เรื่องดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีกได้เหมือนกัน

สรุป

หนังที่เดินเรื่องตามรอยหนังรุ่นพี่อย่าง Seven ชัดเจน แต่ก็มีส่วนที่เป็นของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน แถมบางส่วนก็ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ตัวหนังเดินหน้าไวไม่มีลีลายืดยาดแม้แต่น้อย ทำให้การรับชมยังไงก็ดูสนุกระทึกขวัญไปกับเรื่องได้แน่ๆ แต่สิ่งที่เรื่องนี้แย่คือความไม่สมเหตุผลทั้งหลายในส่วนของการฆาตกรรมที่ดูแล้วไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้ แถมตอนจบที่เหมือนทำมาวัดใจคนดูอีกว่าเชื่อไม่เชื่ออีกกับเหตุผลที่วางไว้ง่ายเกินไป