สำหรับใครที่อยากหาหนังแนวรักโรแมนติกฟีลแบดคำคมเยอะ ๆ เราขอแนะนำเรื่องนี้เลย The Half of It หนังรักสามเส้า ที่หักมุมคนดูไปมาหลายครั้งมาก จนเดาไม่ออกเลยว่าใครชอบใครกันแน่ พร้อมด้วยมุกจิกกัดสังคมในเรื่องฮา ๆ ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งเรื่องอาจจะไม่ได้มีฉากโรแมนติกมากนัก แต่คุณภาพของหนังนั้นเต็มเรื่องอย่างแน่นอน ถ้าอยากรู้ว่าเป็นไงลองมาอ่านรีวิวของเราก่อนได้เลย
รื่องราวในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าสควอเฮมิช ที่นี้มีสาวน้อยคนหนึ่งที่มีชื่อ เอลลี่ ชู เธอเป็นคนจีนที่มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ตั้งแต่ยังเด็กพร้อมกับพ่อของเธอที่ทำหน้าที่เป็นนายสถานีรถไฟให้กับเมืองนี้ ดูเหมือนว่าในตอนนี้เองเธอจะประสบปัญหาทางด้านการเงิน จึงทำให้ต้องรับเขียนจดหมายรักให้กับหนุ่มนักกีฬาคนหนึ่งที่มีชื่อว่า พอล มันสกี้ ที่แอบหลงรักสาวศิลปะสุดสวยอย่าง เอสเตอร์ แต่ว่าเมื่อนานเข้าไป เอลลี่ ชู กลับพบว่าตนเองนั้นก็หลงรัก เอสเตอร์อยู่เหมือนกัน ความสัมพันธ์รักสามเส้าอันยุ่งเหยิงจะเป็นอย่างไร
ตัวอย่าง The Half of It รักครึ่งๆ กลางๆ
The half of it หรือ รักครึ่งๆ กลางๆ นี้เป็นหนังเรื่องที่สองของผู้กำกับ อลิส วู หลังจากภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง Saving Face ที่ได้รับรางวัล San Diego Asian Film Festival และยังได้สาขาเข้าชิงอีก 3 สาขา โดยนี้เป็นเวลาถึง 16 ปีเลยทีเดียวที่เธอได้ห่างเหินจากการเป็นผู้กำกับ และในครั้งนี้เอง Netflix ได้เป็นนายทุนใหญ่สนับสนุนให้หนังเรื่องที่สองของเธอ ให้เป็น Original Netflix เรามาดูกันดีกว่าว่าเรื่องนี้มีจุดเด่นในเรื่องอะไรบ้าง
รีวิวโดยรวม
“นี้ไม่ใช่เรื่องราวของความรัก หรือว่าที่ ๆ คนหนึ่งจะได้สิ่งที่ต้องการ” – เอลลี่ ชู – นี้อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์รักที่ใครหลายคนฝันหา แต่เป็นเรื่องราวของคน ๆ หนึ่งที่ต้องการจะก้าวผ่านเรื่องราวของตนเองไปให้ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรักสามเส้าระหว่าง เอลลี่, พอล และเอสเตอร์ ที่ถ้าดูในตอนแรกอาจจะเป็นแค่สามเส้าธรรมดาเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อผ่านเรื่องราวไปเรื่อย ๆ จะพบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันวุ่นวายกว่าที่คิดไว้ เมื่อตัวหนังได้พยายามหลอกให้เหล่าผู้ชมเชื่อว่าตัวละครอาจจะเปลี่ยนใจชอบกันเองก็ได้ และผู้กำกับก็ทำสำเร็จ สามารถหลอกคนดูว่าคนนี้ชอบคนนี้ อีกคนอาจจะชอบคนนี้ก็ได้ ทำให้เหล่าคนดูโดนตุ๋นกันเกือบหมด และในตอนจบของเรื่องนี้อย่างที่ เอลลี่ เป็นคนกล่าว นี้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวความรักที่สมปราถนา แต่มันได้สร้างเส้นทางทำให้เราเติบโตไปข้างหน้า นี้จึงเป็นหนังสไตล์ Coming of age และมีปรัชญาเข้ามาแทรกเล็กน้อย นี้เลยเป็นหนังน้ำดีอีกเรื่องที่ผู้ชมไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ต่อไปคงขาดไปไม่ได้เลยสำหรับหนังรักโรแมนติกแบบนี้นั้นก็คือฉากเลิฟซีนนั้นเอง ในเรื่องนี้ไม่ค่อยมีฉากแบบนั้นซักเท่าไหร่ส่วนใหญ่ฉากที่โรแมนติกกลายเป็นติดตลกไม่ก็เขินอายแทนเลย เรื่องนี้บิ้วฉากรักไม่ค่อยอินไปกับตัวหนังซักเท่าไหร่ ทำให้เรื่องนี้ฉากโรแมนติกค่อนข้างแห้งมาก ในเรื่องบิ้วเพียงไม่กี่ฉากเองทำให้สอบตกเรื่องความโรแมนติกไปเลย
ส่วนในเรื่องของมุมกล้อง เรื่องนี้ทำออกมาได้อย่างฉลาดมากในบางฉากมีการตัดฉากให้มีความเข้าใจผิด ตัดมุมกล้องกลับไปมาและกลับมาแก้ในตอนหลัง และมีการนำคอนเซ็ปต์ชื่อเรื่องมาใช้ให้ได้มุมกล้องที่ตรงตามชื่อเรื่อง ถึงแม้จะมีฉากแบบนี้นิดเดียว แต่ก็สื่อความหมายได้อย่างดี เสียงดนตรีประกอบเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูมีสีสันมากขึ้น ในหลาย ๆ ฉากมีการใส่เพลงป็อปทำนองสบาย ๆ ให้เราได้ฟังกัน ส่วนพากย์ไทยนั้นก็ทำออกมาดีไม่แพ้กันดีระดับโรงภาพยนตร์เลย คุณภาพแน่นตามสไตล์เน็ตฟลิกซ์ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าไม่ควรเปิดซับพร้อมดูพากย์ไทยนะ ไม่งั้นจะหงุดหงิดพากย์ไม่ตรงซับได้
นอกจากนี้เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสุดโต่งในบางเรื่องที่มีแต่ในดินแดนอเมริกาเท่านั้นที่มี ทำให้ผู้ชมรู้สึกขำไปกับความสุดโต่งในบ้านเมืองเขาจริง ๆ สถานที่ในเมืองสควอเฮมิชแห่งนี้แต่ละจุดจะสะท้อนสิ่งที่หนังจะแซะออกมา ส่วนใหญ่คือ โรงเรียน และโบสถ์ โดยชาวเมืองในสควอเฮมิชส่วนใหญ่จะมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น บาทหลวงของที่นี้ยังมีความเชื่อพวกลักธิสุดโต่งอีกด้วย เกือบทุกครอบครัวจะมาทำกิจกรรมสำคัญในโบสถ์ทุกอาทิตย์ ครอบครัวของเอสเตอร์เองก็เป็นพวกเคร่งศาสนาเช่นกัน โดยในบางครั้งเอสเตอร์ก็จะเห็น เอลลี่ ที่มาเล่นเปียโนทุกสัปดาห์เหมือนกัน
ส่วนโรงเรียนก็จะมีอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ซึ่งเอลลี่รับจ้างเขียนรายงานส่ง งานละ 30 ดอล ซึ่งราคาก็หนักเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็รับประกันว่าได้ A แน่ ๆ ถ้าไม่ได้ยินดีคืนเงิน โดยที่อาจารย์ก็รู้เหมือนกันว่าเป็นฝีมือเอลลี่ แต่เลือกที่จะปล่อยไปเพราะว่าถ้านักเรียนตกส่วนใหญ่ก็ต้องตามมาแก้งาน นี้จึงเป็นการแบ่งเบาภาระของอาจารย์ ซึ่งตัวหนังพยายามที่จะแซะเรื่องนี้เช่นกัน เมื่ออาจารย์อยากที่จะให้นักเรียนผ่านมากกว่าได้ความรู้กลับไป หรือในเมื่อนักเรียนไม่สนใจก็ไม่จำเป็นจะต้องฝืนให้มาเรียนอะไรแบบนี้ มันมองได้หลายมุมมองแล้วแต่จะคิดจริง ๆ
โดยรวม ๆ นี้เป็นหนังคอมเมดี้ โรแมนติก น้ำดีอีกเรื่องที่สอนหลายอย่างให้คนดูพร้อมด้วยการล้อเลียนชีวิตจริงของคนเรา หลาย ๆ สิ่งที่เอลลี่หยิบยกออกมาพูดนั้นมักจะเป็นคำพูดเชิงปรัชญาตลอด ทำให้มีข้อคิดจากหนังเรื่องนี้ไหลออกมาตลอดทั้งเรื่อง มันทำให้เราสามารถย้อนคิดกลับมาดูตัวเราได้จริง ๆ ว่าเราจะสามารถผ่านเรื่องราวเหมือนตัวละครเหล่านี้ได้หรือไม่
สรุป
เป็นหนังรักโรแมนติกที่ไม่ค่อยมีฉากโรแมนติกเยอะเหมือนเรื่องอื่น แต่มีปรัชญาและความตลกจิกกัดแทรกตลอด ทำให้สร้างสีสันในเรื่องได้เป็นอย่างดี การหลอกบางฉากของผู้กำกับทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจมาก เป็นหนังที่นาน ๆ ทีจะมีแนวนี้โผล่มาที แนะนำให้ทุกคนต้องรองดู